แดนปลาดิบ สวรรค์ของคนไทยจริงหรือ? ตอนรถไฟหัวใจคนยุ่น

ตอนรถไฟหัวใจคนยุ่น ※ยุ่น = ญี่ปุ่น



สำหรับชาวต่างชาติหรือนักท่องเที่ยวหลายคนอาจมีอาการมึนตึบ เมื่อเห็นสายรถไฟของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะที่ไหนๆ สีสันและลายเส้นรถไฟที่แสดงตามสถานีมันช่างตระกาลตาจริงๆ

แต่เพราะความมากมายหลากหลายของสายรถไฟเหล่านั้น จึงทำให้คนญี่ปุ่นเองเลือกใช้บริการมาอย่างยาวนาน บางเส้นทางถึงกันฉลองครบรอบ 100 ปีกันเลยทีเดียว เอาจริงๆทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาสเลยนะ อย่างประสบการณ์ที่เราเจอมา ไม่ว่าจะ คนทำงาน เด็กนักเรียน ผู้สูงวัย ผู้ซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย ก็เลือกเดินทางด้วยรถไฟ ต่อให้แบกธนู ดาบไม้ไผ่ เครื่องดนตรี กระเป๋าใบใหญ่ ก็ยังคงเห็นได้ในรถไฟ หรือแม้แต่คนที่แต่งตัวเป็นทางการเช่น ชุดกิโมโน ชุดสุภาพสไตล์ไปงานแต่ง สิ่งเหล่านี้เจอได้ตามรถไฟจริงๆ มันอาจจะดูลำบากไปหน่อยในบางกรณี แต่ทำไมคนญี่ปุ่นถึงยังเลือกใช้รถไฟเป็นการเดินทางหลักละ?

เอาจริงๆ สำหรับคนญี่ปุ่นที่มีชีวิตธรรมดาไม่ได้ร่ำรวยนั้น คงไม่มีทางเลือกมากเท่าไหร่ ถ้ามองกลับมาที่ประเทศไทย รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ จักรยาน รถเมล์ แท็กซี่โอโห หลายหลายมาก (หรือเพราะต้องหาทางเลือกเผื่อเจอช่วงเวลาฉุกเฉินหรือเปล่านะ) แต่ทำไมคนญี่ปุ่นเขาไม่มองหาทางเลือกอื่นบ้างละ

โอเคเราจะขอจำแนงตามแต่ละประเภท ตามความคิดของเราเองด้วย และก็ตามคำบอกเล่าของตัวคนญี่ปุ่นเองด้วยละกันนะ

・รถยนต์ส่วนตัว
ที่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกยอดฮิตของคนไทยหลายคน แต่ด้วยความต่างของประเทศ อะไรหลายๆอย่างก็ต่างกัน ที่ญี่ปุ่นเองจะมีประเด็นเรื่อง "ถ้าอยากมีรถยนต์ไว้ครบครองนั้น คุณจำเป็นต้องมีการยื่นยันที่จอดรถสำหรับรถคุณด้วย" เขาค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องนี้นะ อารมณ์คนไทยที่ไปจอดตามซอยตามถนน อาจถึงขั้นเสียค่าปรับหลายหมื่นเลย เราคิดว่า มีรถ มันไม่ได้จบแค่การเอาเงินไปซื้อรถนะ สำหรับญี่ปุ่น การจัดการหลังจากการมีรถแล้วน่าจะค่อนข้างเยอะ จึงไม่แปลกที่ในเรื่องโคนัน คุณลุงโคโกโร่ เลือกที่จะเช่ารถ แทนการซื้อรถ และส่วนมากที่เรารับรู้มาก็คือเขามักจะเลือกใช้รถในกรณีที่ต้องเดินทางพร้อมกันหลายคน หรือการเดินทางไกล/ท่องเที่ยวประมาณนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ากรณีอื่นๆ เขาจะไม่ใช้นะ ยังไงบางคนที่เลือกขับรถไปทำงานก็มี แต่ก็อาจจะต้องเสียค่าจอดรถต่อเดือนแบบซีดๆหน่อย คิดว่าเฉลี่ยต่อเดือนก็น่าจะถึงหมื่นเยนนะ เพราะประเทศนี้ไม่ค่อยมีที่จอดรถตามตึกบริษัทหรือห้างเท่าไหร่  ก็ต้องอาศัยจอดตามที่จอดรถรายวัน รายเดือนใกล้ๆสถานีรถไฟ หรือหอพักแทน

・มอเตอร์ไซค์
พอมาอยู่ที่นี้ภาพการใช้งานของมอเตอร์ไซค์ที่นี้ กลายเป็นใช้สำหรับส่งของ ส่งอาหารไปเรียบร้อย เราแทบไม่เจอคนขับมอเตอร์ไซค์แบบขับปกติเลย อาจจะเป็นเรื่องสถานที่จอดรถที่ไม่ได้มีมากเท่าจักรยานหรือรถยนต์ด้วย และประเทศนี้ก็ไม่ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์แบบลัดเลาะระหว่างรถยนต์ เหมือนประเทศไทยนะ ถ้าที่เคยเจอก็คือ ถ้ารถมอเตอร์ไซค์จอดติดไฟแดงก็จะเปรียบเสมือนรถยนต์หนึ่งคัน ดูโล่งๆเวลาจอด แต่รถที่มาทีหลังก็คือต่อคิวไปเรื่อยๆ ไม่เบียด ไม่แทรงใดๆ

・จักรยาน
ภาพจำในการ์ตูนหลายๆเรื่องเลยนะ อารมณ์แบบปั่นจักรยาน ไป-กลับโรงเรียน แน่นอนถ้าระยะไม่ได้ใกล้มาก คนญีปุ่นจำนวนมากก็เลือกที่จะปั่นจักรยานกัน เพราะมีที่จอดเยอะมาก สามารถจอดตามหน้าสถานี บ้างที่ถูกๆก็แค่ 100 เยนต่อวันเอง คนส่วนมากก็จะใช้จักรยานปั่นไปซื้อของ หรือปั่นไปสถานีแล้วค่อยนั่งรถไฟไปโน้นนี้นั้นต่อ แต่ที่โตเกียวจะมีกฎหมายระบุชัดเจนว่า วัตถุใดๆที่ซ้อนท้ายนั้น ต้องห้ามหนักเกิน 50 กิโล เพราะฉะนั้นภาพในการ์ตูนที่เพื่อนหรือคนรักมานั่งซ้อนท้ายนั้น มีสองกรณี คือคนซ้อนน้ำหนักไม่เกิน50กิโล อีกกรณีก็คือแหกกฎนั้นแหละจ๊ะ (ถ้าตำรวจตรวจตราไม่มาเห็นอะนะ) 

・รถเมล์ (ญี่ปุ่นจะเรียก รถบัส)
เราขออ้างอิงประสบการณ์ในโตเกียวก่อนนะคือรถเมล์ที่โตเกียวจะวิ่งระยะไม่ไกลมากเหมือนที่ไทย ส่วนมากเขาจะวิ่งแค่แบบสถานี A ไป สถานี B อะไรทำนองนั้น ถ้ายกตัวอย่างก็ระยะประมาณวิ่งต้นสายจาก BTS วงเวียนใหญ่ ไป BTS สะพานตากสิน แค่นั้นจบ แล้วก็วิ่งตีกลับมา วนๆ ไปอย่างนี้ทั้งวัน หรือกรณีที่เขตที่พักอาศัยอยู่ไกลจากสถานีรถไฟ ตรงนี้ก็จะมีรถเมล์สำหรับใช้บริการเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ได้วิ่งไกลอะไร ต่อรอบอยู่ที่ 15-20 นาที ซึ่งเราคิดว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะน่าจะคุมเวลาด้วย รถเมล์ญี่ปุ่นบอกเลยว่ามาแบบเป๊ะๆ ตามกำหนดเวลาจริงๆนะ รถเมล์ทางนี้ก็เหมือนไทยตรงที่ไม่มีคนขึ้นหรือลงก็ไม่จอด (แต่เขาแค่สุภาพกว่าไทยหน่อย) เพื่อลดเวลา เพราะบางป้ายรถเมล์ที่มีคนขึ้นลงเยอะๆก็อาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่ถ้าเป็นกรณีต่างจังหวัดอย่างเกียวโตที่เคยไปขึ้นมาจะไม่ได้วิ่งตามสถานีนะ แต่จะวิ่งแบบรอบเมืองซะมากกว่า เพราะสถานที่หลักๆส่วนมากไม่ได้อยู่ติดสถานีรถไฟ เพราะการวิ่งรอบเมืองก็จะสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า

・แท็กซี่
อันนี้เชื่อว่าผู้อ่านต้องเคยได้ยินมาบ้าง ถึงราคาอันแสนจะโหดร้ายของแท๊กซี่ญี่ปุ่น ซึ่งมันก็โหดร้ายจริงๆแหละ สมัยก่อนเริ่มต้นกันที่ 700เยน เป็นต้นไปเลยทีเดียว แต่ช่วงนี้เหมือนจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้าง ถ้าสังเกตุตามสถานที่ท่องเที่ยวบางที่เริ่มต้นแค่ 430เยน เท่านั้นเอง (แต่ที่ที่เราอยู่ไม่ยอดฮิต เริ่มต้นทีก็ 780เยน โอ๊ยยเจ็บ!) ซึ่งอย่างกรณีแท็กซี่แถวบ้านเรา คนที่รอคิวส่วนมากก็คือคนที่มีสัมภาระขนาดใหญ่ หรือไม่ก็คนแก่ไปเลย แต่ความดีของแท็กซี่ที่นี้ก็ ถ้าบ้านอยู่ไกลจากสถานีเราสามารถโทรเรียกให้แท็กซี่รับที่หน้าบ้านได้นะ ส่วนการติดต่อตรงนี้คิดว่าทางสำนักงานของแต่ละเขตจะเป็นคนจัดการ ซึ่งเพราะระบบตรงนี้ด้วยละมั้ง ที่ทำให้ uber หรือ grab อาจจะไม่ได้เป็นที่สนใจมากสำหรับคนญี่ปุ่น

จริงๆแล้วเรื่องการเดินทางเป็นเรื่องของความสะดวกสบายของแต่ละคนอีกทีนะ เพียงแค่ระบบรถไฟญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างครอบคลุมคือทั่วทั้งจังหวัด คือสามารถเดินทางแบบรถไฟ ต่อรถเมล์ไปถึงที่หมายได้แบบไม่ต้องเดินไกลเลยที่เดียว แถมยังไม่ต้องห่วงเรื่องต้องหาที่จอดรถ จะห่วงก็แค่ต้องกลับ ต้องกลับให้ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายเท่านั้นเอง แต่ละเส้นทาง/สถานีก็จะมีระยะเวลาของรถไฟที่แตกต่างกันตรงนี้ต้องดูกันดีๆ เพราะถ้าพลาดไปแล้ว มีแค่ 2 ตัวเลือกคือ นอนแถวๆนั้นเพื่อรอรถไฟเที่ยวแรก กับโบกแท็กซี่กลับบ้านแหละจ๊ะ #

Comments